.



วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2563

แนวทางการวิจัยทางเทคโนโลยีการศึกษา

 

แนวทางการวิจัยทางเทคโนโลยีการศึกษา

มีผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและเทคโนโลยีการศึกษาหลายท่าได้เสนอแนวทางไว้ดังนี้
ลัมสเดน (Lumsdaine. 1963 : 669-671) ได้สรุปงานวิจัยที่ผ่านมาและเสนอแนวทางวินัยไว้ว่า จากงานวิจัยที่จะพัฒนาเทคโนโลยีทางวิธีสอน ซึ่งเกี่ยวข้องในด้านการสื่อเสาะการประดิษฐ์ และค้นพบทั้งในด้านเนื้อหาและวิธีการ นักจิตวิทยาจะเข้ามาเกี่ยวกันในบทบาท ที่สำคัญเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประหยัดในการสอน งานวิจัยพื้นฐาน (Basic Research) เป็นสิ่งต้องการมากในการที่จะชี้ชัดและแยกแยะองค์ประกอบพื้นฐานต่าง ๆ ให้ดีก่อน รวมทั้งวิธีการด้วยและต้องพยายามศึกษางานอื่น ๆ ให้กว้างขวางมากที่สุด รวมทั้งต้องเป็นนักการสื่อสารร่วมกับนักวิจัยสาขา อื่น ๆ

อัลเลน (Allen. 1973 : 119) กล่าวถึงแนวทางการวิจัยสื่อในอนาคตว่า
1. ควรลดความพยายามที่จะพิสูจน์ถึงคุณค่าหรือคุณภาพของสื่อแต่ละชนิด แต่ความพยายามค้นหาทางเลือกในช่องทางสื่อ ซึ่งมีมากมายว่าทำอย่างไร จึงจะตรงตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้
2. ผสมผสานในคุณลักษณะของการสอน กิจกรรมการเรียนรู้และสื่อซึ่งมีความแตกต่างกัน และอย่าพยายามใช้สื่อเดียวโดด ๆ (Single Medium)
3. ให้นำหลักการพื้นฐานต่าง ๆ (Fundamental Principles) มาขัดเกลาและทำให้สมบูรณ์ เพื่อประยุกต์ใช้หรือผลิตสื่อแต่ละชนิดต่อไป
4. การวิจัยเปรียบเทียบผลของสื่อในการสอน ดูเหมือนว่าจะเป็นการวิจัยที่เปล่าประโยชน์

ชาโลมอน (Salomom. 1978 : 45) กล่าวถึงแนวทางการวิจัยสื่อในด้านความแตกต่างที่มีปฏิสัมพันธ์ของคุณภาพสื่อไว้ว่า จากจุดเน้นของการวิจัยสื่อในอนาคตที่มองในด้านความแตกต่างที่มีปฏิสัมพันธ์กับตัวบุคคล สังคม และวัฒนธรรม โดยเริ่มตระหนักในด้านการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับคุณภาพในสิ่งที่แตกต่างกันแต่ละชนิด แต่ละปริมาณทำให้เราเข้าใจดีขึ้นในเรื่องของความซับซ้อน ความยากง่าย ความเด่นของสื่อแต่ละอย่างที่จะสามารถนำมาใช้ให้ประสบผลสำเร็จได้ในแต่ละผู้เรียน แต่ละเนื้อหา บางที่สิ่งสำคัญที่สุดในการวิจัยสื่อที่อาจเกิดขึ้น คือ การนำเอาจุดประสงค์พื้นฐานของระเบียบวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Research) เข้ามาอธิบายปรากฎการณ์ต่อที่เกิดขึ้น

คลาร์ค (Clark. 1983 : 24) กล่าวว่า การวิจัยในอนาคตจะต้องเน้นในจุดที่จำเป็นของลักษณะวิธีการสอนและตัวแปรต่าง ๆ ได้แก่ การวิเคราะห์งาน (Task) ความถนัดของผู้เรียน (Learner Aptitude) และคุณลักษณะเฉพาะของสื่อและผู้เรียน (Media and Learner Attributions) ซึ่งจะช่วยส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น

เกอร์ลัค (Gerlach. 1984 : 24) ได้เสนอคำถามไว้ 3 ข้อ เป็นข้อควรคำนึงเพื่อไปสู่ทิศทางของการวิจัยทางเทคโนโลยีทางการศึกษา ว่าควรจะทำอย่างไร โดยเฉพาะในคำถามที่ 3

คำถามที่ 1” เรารู้อะไรกันบ้าง” (What do we know?)
1.1 เรารู้เล็กน้อยมาก รู้เพียงแต่ว่าสื่อบางอย่างทำงานได้มีประสิทธิภาพในบางเวลากับนักเรียนบางกลุ่ม ภายใต้สภาวะบางอย่าง
1.2 การเรียนรู้เป็นวิธีการไม่ใช่สื่อ
1.3 สถานภาพของสื่ออย่างดีที่สุดก็คือ ทำให้บรรยากาศในการเรียนแตกต่างกันออกไปและมีเลวที่สุดคือไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้นเลย

คำถามที่ 2 “อะไรที่เราไม่รู้” (What don’t we know?)
2.1 อะไรคือเกณฑ์ที่จำแนกระหว่างความดีความเลวของงานวิจัย
2.2 เมื่อไหร่ที่เราควรจะใช้สื่อไหน
2.3 ผู้เรียนจะจัดระบบและแปลภาษาไทยอย่างไร
2.4 จะแปลผลงานวิจัยออกมาสู่การปฏิบัติได้อย่างไร
2.5 อะไรคือองค์ประกอบของระบบที่จำเป็นในการพัฒนาการสอน
2.6 ผู้เรียนจะสามารถถูกสอนให้ควบคุมตนเองอย่างมีประสิทธิภาพได้หรือไม่
2.7 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) จะสามารถทำให้มีประสิทธิภาพได้หรือไม่
2.8 อะไรจะทำให้ระบบการดำเนินการได้ประสิทธิภาพ
2.9 มีกรอบด้านความคิดรวบยอดที่จะจัดโครงสร้างและเหตุผลสำหรับงานวิจัยในสาขานี้หรือไม่
2.10 จะใช้เวลาอีกนานไหมที่จะนึกคิดถึงคุณลักษณะเฉพาะของสื่อ

คำถามที่ 3 “เรากำลังจะไปสู่จุดใด” (Where do we go?)
3.1 จัดรูปแบบตัวแปรต่าง ๆ (เช่น ชนิด ประเภท ขนาด ระยะ เส้น ความยาว ฯลฯ) ในการเรียนรู้จากคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
3.2 จัดลำดับเหตุการณ์ทางการสอนพร้อมผลที่ได้จากการเรียนและการสอน
3.3 วิธีการวิจัยเชิงธรรมชาติ (Naturalistic Research)
3.4 ประเด็นหรือแนวทางที่มีประสิทธิภาพ
3.5 วิธีระบบ (System Approach)

คลาร์คและชาโลมอน (Clark and Salomon. 1936 : 474-475) สรุปถึงการวิจัยสื่อไว้ดังนี้
1. มีการวิจัยเปรียบเทียบระหว่างคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับวิธีการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากขึ้น และวิจัยผลของการเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมที่เป็นเกมคอมพิวเตอร์
2. การวิจัยสื่อที่ผ่านมาไม่ได้แสดงอย่างเด่นชัดว่า สื่อไหนจะให้ผลต่อการเรียนรู้มากกว่ากัน
3. เทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งหลายดูเหมือนว่าจะสอนได้ดีกว่า เพราะมีการเตรียมมาดี และความใหม่มัดจะดึงดูดใจผู้เรียน
4. การวิจัยสื่อในอนาคต ควรจะมีคำอธิบายความหมายประกอบหรือการอ้างอิงของคำถามที่คล้ายคลึงกันในเรื่องของพุทธิพิสัยบ้าง
5. ในอนาคต ผู้วิจัยจะต้องไม่ศึกษาเพียงเพื่อตอบคำถามของสื่อชนิดเดียวว่าทำอย่างไร ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่ในการเรียนการสอนควรศึกษาว่าทำไม (Why) สื่อจึงจะใช้ได้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น เราไม่สามารถตัดสินได้ว่า สื่อโทรทัศน์และสื่อคอมพิวเตอร์ประเภทไหนจะดีกว่ากันในระบบการศึกษา

อีลาย (Ely. 1987 : 77) กล่าวถึงข้อคิดและแนวโน้มการวิจัยในเรื่องดังต่อไปนี้
1. วิจัยในเรื่องการเรียนรายบุคคลมากขึ้นโดยยึดตามความแตกต่างระหว่างบุคคล
2. วิจัยเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย มากกว่าโครงสร้างทางการสอนเน้นด้านสภาพ
การเรียนใหม่ๆ สภาพการเรียนที่สร้างสรรค์จากการสอนแบบเดิม ที่ครูยืนสอนคนเดียว มาสู่การใช้สถานการณ์จำลอง วิจัยการใช้สิ่งเร้า ฐานข้อมูล (Databases) และแหล่งประสบการณ์ที่จะนำไปสู่การศึกษาใหม่ๆ ให้รู้ว่าบุคคลจะเรียนอย่างไรให้เกิดความเข้าใจมากที่สุด
3. การศึกษาเฉพาะกรณี (Case Study) จะเริ่มเข้ามามีบทบาทโดยให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback Data) เข้าช่วยในการตัดสินใจต่างๆ
4. วิจัยเกี่ยวกับการวิจัยวัฒนธรรมข้ามชาติ (Cross-cultural Research) มากขึ้น โดยผ่านการตรวจสอบตรวจสอบหลาย ๆ ประเทศ อันจะนำไปสู่ความยึดหยุ่นในการถ่ายทอดเทคโนโลยี
5. จำเป็นต้องใช้การวิจัยทางการศึกษา (Education Research) เพราะจะเป็นหลักยึดทั่วไป (General Guidelines) ในสาขาเทคโนโลยีการศึกษาเพื่อมาประยุกต์ใช้ต่อไป
6. การวิจัยเพื่อให้รู้ว่าทำไม (Why) ซึ่งแตกต่างกับช่างเทคนิคที่รู้แต่เพียงว่าจะทำอย่างไร (How) ในการใช้เทคโนโลยีเหล่านั้น นักวิชาชีพที่แท้จริงจะต้องรู้ทั้งอย่างไรและทำไม (How and Why)
ไรซ์ (Rice. 1987 : 2529) ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการวิจัยสื่อใหม่ๆ ไว้ว่าควรวิจัยด้านการสื่อสารมากกว่าวิจัยในสื่อใหม่ๆ โดยวิธีในแง่การใช้และผลกระทบในตัวมันเอง ควรวิจัยเพื่อนำเอาการวิจัยสื่อสารมวลชนหรือสื่อมวลชน (Mass Communication or Mass Media Research) เข้ามาใช้ทั้งในวงการศึกษา สังคมวิทยา และจิตวิทยาศาสตร์ของการสื่อสาร (Communication Sciences) จะเข้ามาสู่ทั้งระดับเริ่มต้นและระดับท้ายสุดของเทคโนโลยี

คำถามวิจัย

 

คำถามวิจัย

คำถามวิจัย คือ ข้อความที่เป็นประโยคคำถามซึ่งแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการค้นคว้าหาคำตอบ ทั้งนี้คำถามการวิจัยควรเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ หรือไม่สามารถหาคำตอบได้จากตำรา หรือความรู้เดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว
ปัญหาการวิจัย คือ ปัญหาที่เราต้องการใช้การวิจัยเพื่อแก้ไข
หัวข้อ คือ เรื่องหรือประเด็นที่เราต้องการจะทำวิจัย (มักจะอยู่ภายใต้ขอบเขตหรือวงวิชาที่เราสนใจ-กำลังศึกษาอยู่)

คำถามวิจัย ภายใต้หัวเรื่องที่เราสนใจใคร่รู้นั้น มีเรื่องอะไรบ้างที่เรายังไม่มีความรู้ และเราต้องการหาความรู้ในเรื่องนั้นๆ คำถามวิจัยมักจะเขียนในประโยคคำถาม เช่น how who what where แต่ก็อาจจะเขียนในรูปประโยคบอกเล่าได้ ซึ่งมักจะเรียกกันว่าเป็น ประเด็นวิจัย

เมื่อเราได้หัวข้อ และคำถามการวิจัยแล้ว ขั้นตอนไปเป็นการสร้าง concept ในการวิจัยด้วยการสังเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง และกำหนดขอบเขตเชิงทฤษฎี (theoretical framework) เพื่อช่วยให้เราสร้างกรอบความคิดในการวิิจัย (conceptual framework) และกำหนดขอบเขตของการวิจัย (scope of study) ได้ชัดเจนต่อไป

วิธีการ Snowball Technique : การได้มาซึ่งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ

 


วิธีการ Snowball Technique การได้มาซึ่งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ

              วิธีการ (Snowball Technique) เป็นวิธีการเลือกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในศาสตร์นั้น ๆ เพื่อตอบในประเด็นปัญหาการวิจัย โดยผู้วิจัยเลือกผู้เชี่ยวชาญที่ผู้วิจัยเห็นว่า มีความเชี่ยวชาญในประเด็นที่ผู้วิจัยจะศึกษาจริง ๆ มาก่อน 1 คน แล้วขอร้องให้ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้น ระบุรายชื่อผู้เชี่ยวชาญท่านต่อไป จากนั้นผู้วิจัยร้องขอให้ผู้เชี่ยวชาญท่านใหม่ระบุชื่อผู้เชี่ยวชาญท่านต่อไป จนกระทั่งครบจำนวนตามที่ผู้วิจัยต้องการ
               (ตอบคำถามของการได้มาซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รวมไปถึงรูปแบบ (Model) ต่าง ๆ ของงานวิจัย)โดยใช้การใช้วิธีนี้ กรรมการสอบ คงไม่ท้วงติงใด ๆ ถ้าอธิบายถึงการได้มาของเครื่องมือ หรือข้อมูลและวิธีการที่ได้มาได้มายังอย่างไร และมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด  

  ตัวอย่าง  เช่น เราต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่อง "จิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) เป็นอย่างดีมีหนึ่งท่าน เช่น ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน แล้วให้ท่านกรุณา ระบุชื่อผู้เชี่ยวชาญท่านต่อไป จนกระทั่งครบจำนวนตามที่ผู้วิจัยต้องการ ตามข้อตกลงเบื้องต้นในการทำวิจัย